วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559


วัดถ้ำเสือ







วัดถ้ำเสือ เป็นวัดที่มีชื่อเสียงไม่น้่อย รวมถึงยังถือว่าเป็นวัดที่มีพระที่มีองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี พระเจดีย์ที่มีความสวยงามโดดเด่น สามารถมองเห็นได้จากในระยะไกล เพราะตั้งอยู่บนเนินเขา ใครที่มาเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี สามารถแวะเยี่ยมชมวัด สักการะพระบรมสารีริกธาตุภายในพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท และนมัสการหลวงพ่อชินประทานพร

วัดถ้ำเสือตั้งอยู่บนเนินเขา ในตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง เป็นอำเภอที่อยู่ก่อนถึงตัวเมืองกาญจนบุรี เดิมเป็นเพียงสำนักสงฆ์เล็กๆ ที่อยู่ในบริเวณถ้ำเสือด้านล่างริมเนินเขา ต่อมาได้แรงศรัทธาจากชาวบ้าน ร่วมกันสร้างและบูรณะ จนกลายเป็นวัดที่ใหญ่โต และมีความวิจิตรงดงาม

เมื่อไปถึงวัดถ้ำเสือด้านหน้าจะเป็นลานจอดรถ และร้านขายของกิน ของฝากต่างๆ ศาลาด้านล่างติดกับบริเวณที่จอดรถ เป็นศาลาการเปรียญประดิษฐานสังขารหลวงปู่ชื่น ที่บรรจุอยู่ในโลงแก้ว มีศาลาประดิษฐานรูปหล่อเจ้าอาวาสหลวงพ่อสิงห์ หลวงพ่อชื่น ซึ่งหลวงพ่อสิงห์เป็นพระธุดงค์ที่มาพบถ้ำเสือ ส่วนหลวงพ่อชื่นเป็นผู้บูรณะปฏิสังขรวัด และยังมีส่วนที่เป็นถ้ำ ที่แบ่งออกเป็น 4 ห้อง มีห้องโถงใหญ่ประดิษฐานพระประธาน 2 ห้องสำหรับหลวงพ่อชื่นมาบำเพ็ญภาวนา และห้องประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิม



การขึ้นไปบนเขาที่ประดิษฐานหลวงพ่อชินประทานพร และพระเจดีย์ ทำได้ทั้งเดินขึ้นบันไดนาคด้านหน้า ที่มีจำนวน 157 ขั้น ชันประมาณ 60 องศา หรือสามารถซื้อตั๋วรถรางไฟฟ้านั่งไปกลับ (ไม่ต้องเดิน) ในราคาเพียง 10 บาท เมื่อขึ้นไปถึงบนเขาบริเวณวัด ด้านซ้ายติดกับบริเวณรถรางจะเป็นพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท

เดินตรงไปด้านหน้าจุดเด่นจุดแรกคือ พระชินประทานพร พระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง ด้านซ้ายขององค์พระเป็นวิหาร ส่วนด้านขวาเป็นพระอุโบสถอัฏมุข นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่วัดมักจะสักการะพระชินประทานพรก่อน แล้วค่อยขึ้นไปยังพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท เพื่อนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และชมวิวทิวทัศน์ แบบ 360 องศา ซึ่งด้านหน้าวัดจะเห็นลำน้ำแม่กลอง ด้านหลังเป็นท้องทุ่งนาเขียวขจี ส่วนด้านข้างติดกับองค์พระเจดีย์ เป็นเก๋งจีนของวัดถ้ำเขาน้อย

ที่มา http://www.kanchanaburi.co/th/specific-place
อุทยานแห่งชาติไทรโยค

อุทยานแห่งชาติไทรโยค มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี มีประวัติความเป็นมา อันยาวนาน ตั้งแต่ครั้งสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสน้ำตกไทรโยค และได้ลงสรงน้ำ ในธารน้ำอันเย็นฉ่ำภายใต้ร่มเงาแห่งแมกไม้ของป่าใหญ่ และเป็นแรงบันดาลใจให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ทรง ประพันธ์บทเพลง “เขมรไทรโยค” จนความงามของน้ำตกไทรโยคเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว
ถ้ำแก้ว
อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ 500 เมตร เป็นถ้ำขนาดเล็ก ยาวประมาณ 200 เมตร มีหินงอกหินย้อยงดงามพอสมควร ปาก ทางเข้าเป็นหลืบหืนที่แคบมากต้องสอดตัวเข้าไปตามซอกหินเป็นระยะทางประมาณ 12 เมตร จึงพบห้องโถงแรก ภายในถ้ำมี ห้องโถง 2-3 ห้อง และห้องหนึ่งมีบ่อน้ำผุดปรากฏอยู่
ถ้ำดาวดึงส์
อยู่ทางตอนเหนือของอุทยานแห่งชาติบริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ทย.2 (ถ้ำดาวดึงส์) เป็นถ้ำที่มีชื่อเสียงและ งดงามมาก ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ค้นพบโดย นายสำลี คูหา ซึ่งตามสัตว์เข้าไปในถ้ำ ในปี พ.ศ. 2515 ถ้ำลึกประมาณ 300-400 เมตร แบ่งเป็นห้องๆ ได้ 8 ห้อง มีชื่อตามลักษณะของหินงอกหินย้อย โดยทั่วไปมีสีขาว เช่น ห้องโคมระย้า ห้องเจดีย์ ห้องจีบม่านฟ้า เป็นต้น
ถ้ำละว้า
อยู่ห่างจากน้ำตกไทรโยคไปทางตอนใต้โดยทางน้ำ ประมาณ 20 กิโลเมตร ถึงท่าเรือซึ่งจะมีถนนไปยังหน่วยพิทักษ์ อุทยานแห่ง ชาติที่ ทย.3 (ถ้ำละว้า) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงบันไดทางขึ้นถ้ำ หรืออาจเดินทางโดยทางรถยนต์ไปตามทางหลวงหมายเลข 323 ช่วงกิโลเมตรที่ 59 - 60 ก่อนถึงน้ำตกไทรโยคน้อย เลี้ยวซ้ายแยกปากแซง ประมาณ 18 กิโลเมตร ถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่ง ชาติที่ ทย.3 (ถ้ำละว้า) เดินเท้าขึ้นถ้ำประมาณ 50 เมตร ถ้ำละว้ามีปากถ้ำแคบ แต่ภายในกว้างใหญ่โตมาก ถ้ำลึกประมาณ 450 เมตร แบ่งเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องท้องพระโรง ห้องดนตรี และห้องม่าน แต่ละห้องมีหินงอก หินย้อย สวยงามแตกต่างกันไป นอกจากนี้ ภายในถ้ำยังปรากฏหลักฐาน เช่น ฟันมนุษย์ ซึ่งทำให้สันนิษฐานได้ว่า แต่เดิมน่าจะเคยมีมนุษย์โบราณอาศัยอยู่
น้ำตกไทรโยคน้อย
น้ำตกไทรโยคน้อย หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า น้ำตกเขาพัง เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมาช้านาน เหตุที่ได้ชื่อว่าน้ำตกเขาพัง เพราะเกิดบน หน้าผาหินปูนที่พังทลายลงมา จนเกิดโขดหินปูนลดหลั่นกันอยู่ตรงบริเวณเชิงเขา ต้นกำเนิดเป็นน้ำผุดจากภูเขาแล้วไหล มาตาม ลำธารเล็กๆ ไหลตกลงที่ผาหินปูนที่มีความสูง ประมาณ 15 เมตร แผ่กระจายไปตามพื้นเขาลาดเอียง ภายใต้ร่มเงาของพันธุ์ไม้นานา ชนิด ในลำธารมีต้นกกขึ้นอยู่กระจัดกระจาย นับเป็นบรรยากาศที่ชวนให้ไปสัมผัสอีกแห่งหนึ่ง การเดินทางสะดวกมาก เพราะอยู่ติด กับถนน สายกาญจนบุรี-ทองผาภูมิ ระยะทางประมาณ 56 กิโลเมตร ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเที่ยวน้ำตก คือ ฤดูฝนซึ่งเป็น ช่วงที่ น้ำในน้ำตกมีมาก ประมาณเดือนกรกฎาคม – กันยายน
น้ำตกไทรโยคเล็ก
อยู่ทางด้านใต้ของ น้ำตกไทรโยคใหญ่ประมาณ 500 เมตร เป็นน้ำตกที่มีความสูงมากกว่า มีความสวยนงาม อยู่สายน้ำที่พุ้งตกลงมา สู่แม่น้ำแควน้อย ในฤดูหนาวจะสัมผัสบรรยากาศของความหนาวเย็นแห่งสายน้ำและขุนเขาผ่านน้ำตก มีเสน่ห์ชวนหลงไหลยิ่งขึ้น
น้ำตกไทรโยคใหญ่
เป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่แม่น้ำแควน้อย แยกเป็น 2 แพร่ง ส่วนที่อยู่ทางตอนเหนือเรียกว่า น้ำตกไทรโยคใหญ่ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ชั้น เดียว รองรับด้วยชั้นหินสลับกันเป็นชั้นๆ มีความสูงประมาณ 8 เมตร สามารถชมทัศนียภาพของน้ำตกไทรโยค ได้โดยการเดินข้าม สะพานแขวนไปยังฝั่งตรงข้ามหรือโดยทางน้ำ ในฤดูหนาวจะสัมผัสบรรยากาศของความหนาวเย็นแห่งสายน้ำและขุนเขา ผ่านน้ำตก มีเสน่ห์ชวนให้หลงไหลยิ่งขึ้น
แม่น้ำแควน้อย
มีต้นกำเนิดจากผืนป่าดงดิบทางตะวันตกตามแนวชายแดนไทย-พม่า แล้วไหลไปรวมกับแม่น้ำแควใหญ่เป็นแม่น้ำแม่กลอง ที่ตัวเมืองกาญจนบุรี ริมสองฝั่งแม่น้ำแควน้อยในพื้นที่อุทยานแห่งชาติไทรโยคมีธรรมชาติที่งดงาม มีโขดเขาเกาะแก่งที่โดดเด่นเป็น เอกลักษณ์ ร่องน้ำที่ลัดเลาะไปตามซอกเขาหินปูน ความแตกต่างของพื้นที่เลาะเกาะแก่งเป็นเหตุให้แม่น้ำสายนี้ไหลเชี่ยวและวกวน บางตอนจะเป็นหาดทรายยื่นออกมาในลำน้ำ เป็นที่ชื่นชอบของผู้นิยมล่องแพโดยทั่วไป
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ
อุทยานแห่งชาติไทรโยคได้จัดทำเส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมชาติไว้สำหรับผู้ที่สนใจจะศึกษาหรือสัมผัสในความหลากหลายของ ธรรมชาติ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางสายธรรมชาติ-ประวัติศาสตร์ เส้นทางสายชมเรือนยอดไม้
สิ่งอำนวยความสะดวก
อุทยานแห่งชาติมีบ้านพักแรมและจัดเตรียมเต็นท์และสถานที่กางเต็นท์ ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยว การสำรองที่พัก เต็นท์สามารถ ติดต่อสอบถามรายละเอียดและสำรองที่พักเต็นท์ได้กับอุทยานแห่งชาติโดยตรง มีบริการอาหาร 

สอบถามเพิ่มเติมที่อุทยานแห่งชาติไทรโยค
หมู่ที่ 7 ต.ไทรโยคอ. ไทรโยคจ. กาญจนบุรี 71150
โทรศัพท์ 0 3468 6024 โทรสาร 0 3468 6024 อีเมล saiyok_np@hotmail.com


1.โดยรถส่วนตัว
อุทยานแห่งชาติไทรโยค& ห่างจากตัวเมืองกาญจน์ 104 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 323 (กาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ) บริเวณกิโลเมตรที่ 82

2. รถโดยสารประจำทาง
มีรถโดยสารปรับอากาศและธรรมดา จากสถานีขนส่งสายใต้-กรุงเทพฯ ลงที่สถานีขนส่งจังหวัดกาญจนบุรี ต่อด้วยรถโดยสาร ประจำทางสายทองผาภูมิ ถึงปากทางเข้าอุทยานฯ แล้วต่อด้วยรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างเข้าไปยังน้ำตกไทรโยคอีก 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางระหว่างสถานีขนส่งจังหวัดกาญจนบุรี ถึง ปากทางเข้าอุทยานฯ ประมาณ 2 ชั่วโมง

3.รถไฟ
จากสถานีรถไฟธนบุรี (บางกอกน้อย) ไปยังสถานีน้ำตก (ไทรโยคน้อย) จากนั้นสามารถเหมารถสองแถวเล็กต่อไปอีก 34 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายกาญจนบุรี - ทองผาภูมิ ตรงหลักกิโลเมตรที่ 81 เลี้ยวซ้ายเข้าน้ำตก 3 กิโลเมตร

4.เรือ
จากอำเภอเมืองกาญจนบุรี ลงเรือที่ท่าเรือ จะมีเรือหางให้เช่าเหมาลำ เดินทางไปตามลำน้ำแควน้อย จนถึงน้ำตกไทรโยคหรือจาก สถานีรถไฟสามารถต่อเรือที่ท่าเรือปากแซง บ้านท่าเสา อำเภอไทรโยค ต่อไปยังน้ำตกไทรโยคได้อีกทางหนึ่ง
ที่มา http://www.paiduaykan.com/

อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ



อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของแนวเทือกเขาทางภาคตะวันตกส่วนที่ติดเขตแดนพม่า รวมทั้งเปิดให้ได้เข้าพัก เพื่อได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เป็นการปลูกจิตสำนึกให้นักท่องเที่ยวรักและหวงแหนในความเป็นธรรมชาติ และช่วยกันรักษาให้ดำรงสืบไปถึงลูกหลาน

อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ มีเนื้อที่ประมาณ 772,214 ไร่ หรือ 1,235 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่ทางด้านตะวันตกของตัวอำเภอ ติดกับเขื่อนวชิราลงกรณ์ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยเขย่งและป่าเขาช้างเผือก ในเขตท้องที่อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี บริเวณพื้นที่ในเขตชายแดนพม่าแถบนี้ ทางกรมป่าไม้เสนอให้ได้รับการคุ้มครอง อนุรักษ์ป่าไว้ ให้เชื่อมต่อกับผืนป่าส่วนอื่นๆ ให้เป็นป่าผืนใหญ่ผืนเดียวกัน เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ และแหล่งทรัพยากรธรรมชาติให้สมบูรณ์ สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยและการเจริญพันธุ์ของพืชและสัตว์ป่า และการพิจารณานี้ได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติขึ้น เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 114 ของประเทศไทย


เมื่อได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติแล้ว พื้นที่ในแถบนี้จึงถูกเชื่อมต่อกันกลายเป็นป่าผืนตะวันตกขนาดใหญ่ เพราะพื้นที่ทุกจุดถูกเชื่อมต่อกับผืนป่าที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ทุกด้าน คือ
- ทิศเหนือของอุทยานฯ เชื่อมต่อกับอำเภอสังขละบุรี ติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
- ทิศใต้ ติดกับแนวป่า และสันเขาของอุทยานแห่งชาติไทรโยค
- ทิศตะวันออก ติดกับอุทยานแห่งชาติเขาแหลม
- ทิศตะวันตกติด แนวเทือกเขาตะนาวศรี ซึ่งเป็นเขตแดนไทย-พม่า

พื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานฯ เป็นเทือกเขาวางตัวในแนวเหนือใต้ สูงต่ำสลับกันไล่ระดับกันไปตามเทือกเขาตะนาวศรี มีระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,000 - 1,249 เมตร โดยมียอดเขาช้างเผือกเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด คือ 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง 

ผืนป่าในแถบอุทยานฯ มีความแตกต่างผสมผสานกันทั้งป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา และป่าเบญพรรณ ทำให้มีพืชพรรณที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรม เกิดเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าจำนวนมาก และสัตว์ป่าถูกรบกวนน้อย เพราะเป็นผืนป่าผืนเดียวกับประเทศพม่า สัตว์ป่าจึงค่อนข้างสมบูรณ์ สัตว์ที่พบเห็นได้คือ ช้างป่า หมีควาย เก้ง กวาง นกป่า รวมถึงนกที่หายากเช่นนกเงือก และสัตว์อื่นๆ อีกมาก

บริเวณที่ทำการอุทยานฯ ได้รับการดูแล ตกแต่ง ไว้เป็นสัดส่วน อยู่ท่ามกลางต้นไม้และธรรมชาติ มีจุดชมวิวด้วยกัน 2 จุดคือ จุดชมวิวเนินช้างเผือก และเนินกูดดอย เป็นจุดที่เห็นทัศนียภาพได้แบบพานารามา ทิวเขาสลับซับซ้อนสุดสายตา และในวันที่มีหมอก อาจจะเห็นคลื่นทะเลหมอกปกคลุมยอดเขาด้วย ลักษณะจุดชมวิวทั้ง 2 จุด ทำเป็นชานไม้ ยื่นออกไปเป็นลานจากริมเชิงเขา จุดนี้มีม้านั่งสำหรับนั่งชมธรรมชาติ และภาพวิวภูเขาสวยๆ ที่จุดชมวิวเนินเขาช้างเผือกจะเห็นยอดเขาที่สูงที่สุดในแถบนี้ คือยอดเขาช้างเผือก ส่วนจุดชมวิวเนินกูดดอยเป็นจุดสำหรับดูพระอาทิตย์ขึ้น และเป็นจุดกางเต็นท์ที่เห็นวิวกว้าง และไกลจนสามารถเห็นเขื่อนวชิราลงกรณ์

ที่มา http://www.kanchanaburi.co/th/specific-place


 อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์

อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ เป็นหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์ของประเทศไทยตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อยทางทิศเหนือใน เขตตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรีแวดล้อมด้วยทิวเขาเป็นแนวยาวอยู่โดยรอบ ลักษณะผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลง กว้างประมาณ 800 เมตร หมายถึงส่วนกว้างของเมือง ยาวประมาณ 850 เมตร และกำแพงสูง 7 เมตร มีประตูเข้าออก 4 ด้าน มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ภายในเมืองมีสระน้ำ 6 สระ
ปราสาทเมืองสิงห์ มีจุดมุ่งหมายสร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนา นิกายมหายานจากการขุดตกแต่งของกรมศิลปากรที่ค่อยบูรณะไป ตั้งแต่พ.ศ. 2478แต่มาเริ่มบุกเบิกกันจริงจังเมื่อพ.ศ. 2517 แล้วเสร็จเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2530 จึงสวยงามดังที่เห็นอยู่ในวันนี้ ปราสาทเมืองสิงห์นี้กล่าวว่าสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรม คล้ายคลึงกับของ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7(พ.ศ. 1720 - 1780) กษัตริย์นักสร้างปราสาท แห่งขอม จากการขุดแต่งของกรมศิลปากร พบศิลปกรรมที่ สำคัญยิ่งคือพระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรและนางปรัชญาปารมิตาและ ยังพบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่ง รัศมีอีกองค์หนึ่ง รูปลักษณ์คล้ายกับที่พบในประเทศกัมพูชาปัจจุบันกรมศิลปากรได้นำไปเก็บรักษาอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครแล้ว คงเหลือแต่องค์จำลองไว้ จากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์เมืองพระนครประเทศกัมพูชา ซึ่งจารึกโดย พระวีรกุมารพระราชโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7จารึกชื่อเมือง 23 เมือง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างไว้ มีเมืองชื่อศรีชัยสิงห์บุรีซึ่งสันนิษฐาน กันว่า คือเมืองปราสาทเมืองสิงห์นี่เองและยังมีชื่อของเมืองละโวธยปุระหรือละโว้หรือลพบุรีที่มีพระปรางค์สามยอดเป็นโบราณ วัตถุร่วมสมัยแต่ในเรื่อง ดังกล่าวรองศาสตราจารย์ศรีศักรวัลลิโภดมเห็นว่าการที่นำเอาชื่อเมืองที่คล้ายคลึงกันในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ไปเปรียบเทียบกับบรรดาเมืองในเส้นทาง คมนาคมใน จารึกปราสาทพระขรรค์อย่างง่ายๆ โดยไม่คำนึงถึงหลักภูมิศาสตร์ เท่ากับเป็น การบิดเบือนความจริงอย่างมักง่ายเพราะบรรดาปราสาทขอม ที่เรียกว่าอโรคยาศาลนั้นมักพบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพบบ้างในบางส่วนของจังหวัดปราจีนบุรี

ซึ่งปัจจุบันได้แยกเป็นจังหวัดสระแก้ว และมีรูปแบบแตกต่างจากปราสาทขอมที่พบ ในลุ่ม แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างสิ้นเชิง ตรงข้ามกับบรรดาปราสาทของ ที่พบบนเส้นทางคมนาคมจากละโว้ถึงเพชรบุรีและปราสาทเมืองสิงห์ แต่ละแห่งก็มีรูปแบบที่แตกต่างออกไป จะมีความคล้ายคลึงกันแต่รูปเคารพ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรและนางปรัชญาปารมิตา ที่บ่งชี้ว่าน่าจะแพร่หลายมาจากเมืองละโว้ และพระโพธิสัตว์บางองค์นำมาจากเมืองพระนคร ก็มีแต่หลักฐานทั้งหมดก็มิได้ปฏิเสธ ความสัมพันธ์ทั้งสังคมและวัฒนธรรมระหว่างละโว้กับเมืองพระนครในกัมพูชาในสมัยรัชกาลที่ 1 เมืองสิงห์เป็นเมือง หน้าด่าน รัชกาลที่ 4 โปรดให้เจ้าเมืองสิงห์เป็น พระสมิงสิงห์บุรินทร์ แต่สมัยรัชกาลที่ 5 เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นมณฑล เทศาภิบาลจึงยุบเมือง สิงห์เหลือแค่ตำบล

โบราณสถานหมายเลข 1
เป็นปราสาทที่มีความโดดเด่นและสมบูรณ์กว่าโบราณสถานจุดอื่น โดยตั้งอยู่บริเวณใจกลางด้านหน้าของตัวเมือง มีชานศิลาแลงรูป กากบาท อยู่ด้าน หน้าปราสาท ถัดไปเป็นกำแพงแก้วล้อมรอบปราสาทและประตูกำแพง ภายในกำแพงแก้วบริเวณด้านหน้าปราสาท เป็นลานศิลาแลงซึ่งต่อกับโคปุระ (ซุ้มประตู) ต่อเนื่องไปกับระเบียงคดซึ่งล้อมรอบตัวปราสาท บริภายในปราสาทมีบรรณาลัยตั้งอยู่ ด้านหน้าติดกับระเบียงคด เป็นที่เก็บตำราหรือ คัมภีร์ต่างๆ ส่วนใจกลางคือ ปราสาทประธาน ซึ่งตั้งอยู่บนฐานปัทม์รูปสี่เหลี่ยมย่อเก็จ มีมุขยื่นออกไปทั้งสี่ด้าน ส่วนยอดของเรือนธาตุได้ทลายลงไป ภายในปราสาทประทานเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศว

โบราณสถานหมายเลข 2
เป็นปราสาทซึ่งมีลักษณะคล้ายกับโบราณสถานหมายเลข 1 แต่มีขนาดเล็กกว่า สภาพโบราณสถานค่อนข้างชำรุดมาก ตัวปราสาท ตั้งอยู่บนฐานเขียง รูปสี่เหลี่ยม ลดหลั่นกัน 2 ชั้น ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว บริเวณด้านหน้ามีลานกว้างก่อนเข้าสู่โคปุระด้านหน้า บริเวณด้านซ้ายและด้านขวาหลังโคปุระ เป็นระเบียงคดซึ่งมีแท่นฐานประติมากรรมเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่ง ถัดไปเป็นที่ตั้งของสิ่ง ปลูกสร้างทั้ง 6 หลัง มีประสาทประตั้งอยู่ตรงกลางด้านหน้า ส่วนด้านซ้าย ขวา และด้านหลังเป็นโคปุระ ส่วนบริเวณที่เหลือทั้งสอง นั้น เป็นซุ้ม ภายในโคปุระ ปรากฏแท่นฐานประติมากรรมรูปเคารพ ตั้งอยู่ภายใน จากการบูรณะได้มีการค้นพบประติมากรรมและ แท่น ฐานประติมากรรม วางเป็นแนวตามระเบียงคด จำนวนมาก ประติมากรรมที่พบ ได้แก่ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร นางปรัชญา ปารมิตา ลักษณะแบบอิทธิพลพื้นเมืองปนอยู่มา

โบราณสถานหมายเลข 3
ปรากฏเหลือเฉพาะส่วนฐาน ซึ่งมีขนาดเล็กก่อด้วยศิลาแลง ตั้งอยู่บนฐานเขียงรูปสี่เหลี่ยม ได้มีการพบพระพิมพ์เนื้อตะกั่ว ในบริเวณ นี้อีกด้วย

โบราณสถานหมายเลข 4
ปรากฏเหลือเฉพาะแนวก่อของศิลาแลง

หลุมขุดค้นทางโบราณคดี
หลุมขุดค้นทางโบราณคดี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งขุดค้นพบทั้งโครงกระดูก เครื่องมือเครื่องใช้ ภาชนะสำริด ดินเผา เครื่องมือเหล็ก สร้อยคอทำด้วย ลูกปัดหินและลูกปัดแก้ว ซึ่งชี้ชัดว่าชุมชนเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่จะสร้างเมืองสิงห์ เพราะเป็นศพของคนที่ตายมา 2,000 ปีแล้ว คงจะยุคเดียวกับคนในชุมชนบ้านเก่า





น้ำตกเอราวัณ



น้ำตกเอราวัณ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดกาญจนบุรี แต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเป็นจำนวนมากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ น้ำตกมีความสวยงามอยู่ท่ามกลางป่าธรรมชาติ เดินไปยังน้ำตกไม่ไกล ไม่ลำบาก น้ำใส และมีแอ่งน้ำเหมาะกับการเล่นน้ำท่ามกลางแมกไม้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายสำหรับนักท่องเที่ยว สามารถโดยสารรถประจำทางไปได้ และอยู่ไม่ไกลจากตัวจังหวัดเมือง กาญจน์มากนัก

น้ำตกเอราวัณ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ อำเภอศรีสวัสดิ์ อยู่ในแนวลำน้ำแควใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 600 ตารางกิโลเมตร อยู่บนทางหลวงหมายเลข 3199 ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับทางไปเขื่อนศรีนครินทร์


น้ำตกเอราวัณ เดิมชื่อ "น้ำตกสะด่องม่องลาย" ที่ได้มาจากต้นน้ำ ชื่อลำธารม่องไล่ และห้วยอมตะลา น้ำตกเอราวัณเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สายน้ำไหลลงมาจากยอดเขาสูง ผ่านโขดหินผา และป่าที่ปกคลุมด้วยแมกไม้นานาชนิด มารวมกันเป็นแอ่งน้ำเป็นช่วงๆ ทำให้เกิดเป็นชั้นของนำ้ตก ที่มีความสวยงามแตกต่างกันไป น้ำตกมีด้วยกันทั้งหมด 7 ชั้น มีชื่อเรียกแต่ละชั้นคล้องจองกัน จากชั้นแรกถึงชั้นที่เจ็ดคือ "ไหลคืนรัง วังมัจฉา ผาน้ำตก อกนางผีเสื้อ เบื่อไม่ลง ดงพฤกษา ภูผาเอราวัณ" น้ำตกแต่ละชั้นมีระยะทางแตกต่างกันตั้งแต่ ชั้นต้นๆ เดินไปแค่ไม่กี่ร้อยเมตร จนถึงชั้นบนสุด 1,520 เมตร ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการเดินผ่านป่าขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด เป็นหน้าผาทะลุเปิดโล่ง บางช่วงค่อนข้างลำบาก ชัน และลื่นบ้าง ชั้นบนสุดหลายคนบอกว่ารูปร่างผามองดูแล้วคล้ายกับหัวช้างสามเศียรเอราวัณ จนเป็นที่มาของชื่อน้ำตกเอราวัณนั่นเอง

น้ำตกเอราวัณมีลักษณะสวยงามเป็นพิเศษ ตรงที่สีของน้ำเป็นสีฟ้าใส เหมือนสระว่ายน้ำ เนื่องจากเป็นน้ำที่ผ่านมาจากเขาหินปูน ที่มีแคลเซียมคาร์บอเนตสูง มีคุณสมบัติทำให้สารแขวนลอยตกตะกอน ถ้าสังเกตบริเวณที่ไม่มีคนเล่นน้ำจะเห็นน้ำใสมาก น้ำตกในชั้นต้นๆ เป็นแหล่งน้ำของปลาน้ำตกชนิดหนึ่งเรียกว่า "ปลาพลวง" ที่มีให้เห็นเป็นจำนวนมาก น้ำตกเอราวัณ เป็นน้ำตกที่คนชอบเดินลุยป่าไม่ควรพลาด เพราะ สามารถเดินเลือกเล่นน้ำในแต่ละชั้นที่ต้องการได้ สายน้ำเย็นฉ่ำที่ผ่านโขดหินทำให้น้ำตกมีลักษณะโดดเด่น สวยงามแตกต่างกันในแต่ละชั้น นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้เล่นในแอ่งน้ำใส ยังสามารถเดินขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดได้ด้วย น้ำตกเอราวัณมีน้ำตลอดปี ช่วงหน้าแล้ง ประมาณเดือนธันวาคม - เมษายน อาจมีน้ำน้อยบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับแห้ง



บริเวณที่ทำการอุทยานฯ​ มีการจัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ สวยงาม น้ำตกในชั้นต้นๆ อยู่ไม่ไกลกันมากนัก เมื่อต้องการไปยังตัวน้ำตกชั้นแรก ต้องเดินไปอีก 500 เมตร
ชั้นที่ 1 ไหลคืนรัง น้ำตกยังไม่ค่อยสวยมาก เหมาะสำหรับนั่งปิกนิก มีโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งเล่น รับประทานอาหาร ริมน้ำตก
ชั้นที่ 2 วังมัจฉา มีปลาพลวงเวียนว่ายในน้ำใสอยู่เป็นจำนวนมาก แอ่งน้ำสีฟ้า มีม่านน้ำตก ไหลผ่านหินย้อย เหมือนกับนำ้ไหลผ่านปากถ้ำ ลงมายังแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เหมาะกับการลงเล่นน้ำ บางช่วงอาจลึก นักท่องเที่ยวสามารถเช่าชูชีพลงเล่นได้
น้ำตกชั้นที่ 3 ผาน้ำตก ก่อนขึ้นไปยังน้ำตกนี้ จะมีจุดตรวจอาหาร ห้ามนำอาหาร เครื่องดื่ม และขวดน้ำ ขึ้นไปจากชั้นนี้เด็ดขาด ต้องฝากเจ้าหน้าที่เอาไว้ 
ชั้นที่ 4 อกนางผีเสื้อ ทางอุทยานทำทางเดินบันไดไว้อย่างเรียบร้อย แต่เส้นทางค่อนข้างสูงชันอยู่เหมือนกัน ระหว่างทางไปน้ำตกชั้นที่ 4 มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าดิบแล้งม่องไล่ ระยะทาง 1,010 เมตร สามารถเดินแยกไปตามเส้นทางนั้นได้ ชั้นนี้ดูดีๆ จะเห็นหิน 2 ก้อนที่มีลักษณะเหมือนหน้าอกผู้หญิง แต่มีลักษณะใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไป เลยได้ชื่อเป็นอกนางผีเสื้อ (สมุทร) ซะเลย ชั้นนี้มีน้ำไหลตามหินลงมายังแอ่งด้านล่าง สามารถเล่นน้ำได้
จากนี้เส้นทางจะค่อนข้างลำบากขึ้น และเป็นทางชันขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงชั้นบนสุด น้ำตก
ชั้นที่ 5 เบื่อไม่ลง เป็นน้ำตกที่ลดหลั่นลงมาแบบเตี้ยๆ เป็นแอ่งตื้นๆ เหมาะกับการแช่น้ำเล่น
ชั้นที่ 6 ดงพฤกษา อยู่ห่างจากชั้น 5 แค่ 300 เมตร มีน้ำตกอยู่หลายมุม ตามแมกไม้ต่างๆ
ชั้นที่ 7 ภูผาเอราวัณ การเดินทางไปถึง ต้องเดินผ่านหิน ปีนบันไดไปอีก เป็นทางที่เหนื่อยอยู่เหมือนกัน แต่ก็คุ้มกับการมาดู เพราะเป็นชั้นที่สูงที่สุดและสวยที่สุด มีสายน้ำที่ตกลงมาจากหน้าผาสูง ผ่านแมกไม้ และแนวหิน มาสู่แอ่งน้ำด้านล่าง

ที่มา http://www.kanchanaburi.co/th/specific-place